วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การสร้างผู้นำผ่านระบบ

เริ่มจากงานรายวัน คือการออกไปสปอนเซอร์เองหรือไปช่วยทีมงานใหม่ๆ ทำการสปอนเซอร์ด้วยกัน การจะมีเนื้องานสปอนเซอร์ได้ก็ต้องอาศัยเนื้อหาของ 5 ค้นหา ซึ่งจะมีรวมถึง 5 บทบาทด้วยสำหรับ DL ใหม่ ที่จะไปกับเราว่าควรทำไรบ้าง

จากนั้นก็จะทำตามติดตามคนที่สปอนเซอร์ หรือทางทีมงานพาไปสปอนเซอร์ ไปคุยวันที่ 2 ต่อ ถามเป้าหมายสอนการนัดหมายให้เค้า อาจจะนัดเค้ามา HM หรือมา Center ทีนี้ เราก็จะมีทีมงานเพิ่มมาจากเนื้องานรายวัน สัก 2 คน (ที่เอาจริง)

จากนั้นเราก็ออกไปทำงานรายวันกันอีก –> จัด HM ให้ทีมงานทำงานสะดวกขึ้น มีการทำ House Training ด้วย จากทีมงานเรา 1 คนแล้วเพื่อนเค้าอีกคน จากเนื้องานรายวัน ก็ทำให้เค้าและเพื่อนเค้ามีเพื่อนสนใจตามมาทำมากขึ้น ตอนนี้จาก 2 กลายเป็น 6-7 คนแล่ะ

ทำต่ออีกพึ่งอาทิตย์ที่ 3 เอง จบอาทิตย์นี้เริ่มมีองค์กรของเค้าเอง 10 คนได้
อาทิตย์สุดท้าย เค้ากับเพื่อนๆ เริ่มพัฒนาทักษะ และนัดหมายเพื่อนๆ ไปเรียนรู้กันที่งาน the winner จาก 10 เริ่มเพิ่มเป็น 20 คน

ออกไปทำเนื้องานส่วนตัวอีก จากคนใหม่ –> เป็นคนเก่า ส่งไม้ผลัดความสำเร็จและทักษะให้คนใหม่ เคลื่อนคนเข้าเรียนรู้ จาก 20 เดือนแรกเป็น 40 เดือนที่ 2 และเป็น 60 เดือนที่ 3
มุ่งไปงาน camp ทำเนื้องานส่วนตัว โปรโมตทีมงานไปเรียนรู้ร่วมกัน 60 คนที่ไปงาน camp เติบโตองค์กรก็โตต่อเป็นหลักร้อย แถมโตแบบมีโครงสร้างด้วย นี่ไงครับ การเคลื่อนคนผ่านระบบ หรือที่เรียกว่า สร้างผู้นำผ่านระบบ

สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
www.mybizandbjc.com/thai
Tel.084-6384684



8 รู้ ในการดูแลคนในที่ประชุม

8 รู้ ในการดูแลคนในที่ประชุม
การดูแลคนในที่ประชุมไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่ๆ เช่น the winner, VIP OPP, Camp หรือแม้แต่การเข้าคอร์สต่างๆ ที่จัดโดยกลุ่ม เราเองในฐานะที่เป็นผู้นำหรือเริ่มมีองค์กร จะดูแลองค์กรเรายังไง

1.รู้งาน: รู้ว่างานที่จัดเนี่ยคืองานอะไร เริ่มกี่โมง จัดที่ไหน ถ้าเป็นงาน vip opp ใครนะที่เป็นคนที่ขึ้นแชร์ประสบการณ์ เราจะได้สามารถโปรโมตเพื่อนๆ ใหม่ของเราก่อนได้ หรือแม้แต่การจัดคอร์ส training คอร์สนั้นจัดมาเพื่อใคร เช่น คอร์ส BTC เป็นสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ อันนี้ใครๆ ก็เข้าได้ แต่บางคอร์สมีเนื้อหาที่เข้มข้นเช่น คอร์ส Bronze up แล้วเพื่อนๆ หลายคนไม่รู้ดันไปพาเพื่อนใหม่ๆ มาซึ่งบางทีมันก็ไม่ work เพราะเพื่อนๆ เรากลายเป็นอึ้งกับเนื้อหา มันต้องขนาดนี้เลยเหรอว่ะ ซึ่งผมว่าสำคัญจริงๆ ครับว่า เราควรรู้งานนี้ เหมาะกับใคร

2.รู้เวลาที่เค้าควรมา: หลายครั้งที่เราเคยนัดเพื่อนๆ ใหม่มางานต่างๆ เช่น the winner หรือ vip opp เราเองรู้เวลางานเริ่มอยู่แล้ว แต่ชอบนัดเพื่อนๆ ตรงกับเวลาเริ่มงานพอดีเป่ะเลย ที่จริง แล้วเราควรจะนัดเพื่อนๆ ใหม่มาก่อนเวลาสัก 30 นาที อย่างน้อยๆ จะได้เล่าเรื่องราวว่า เอองานวันนี้นะเค้าจะเจออะไรบ้างในงาน ที่สำคัญยังสามารถนำไปรู้จักเพื่อนๆ ในทีมหรือ UL คร่าวๆ ก่อนเข้างานได้

3.รู้ว่าเค้าติดปัญหาอะไร: สำคัญมากๆ เพราะคนที่จะรู้จักคนที่เราพามามากที่สุดก็คือตัวเราเอง เราจะได้นำข้อติดขัดของเค้าไปถามนำกับ UL เพื่อเคลียแนวคิดอาจจะเป็นตอนหลังเลิกงาน หรือก่อนเริ่มงาน เช่นงาน VIP OPP ถ้ามีทีมงานพาเพื่อนใหม่มาให้รู้จักควรพูดว่า อย่าพึ่งรีบกลับนะครับ เดี๋ยวตอนเลิกถ้ามีข้อสงสัยอะไร เดี๋ยวจะได้มาเคลียร์กับผม พูดแบบนี้ไปผมว่าเพื่อนใหม่บางท่านฟังแล้ว มันก็เหมือนสัญญาใจเล็กๆ อ่ะครับว่า เออก็สัญญากันไว้ จะหนีกลับก่อนหรือไง

4.รู้ที่นั่งของเค้า: บางทีเราเองพาเพื่อนๆ มาคอร์สหรือมางานแล้วเราก็รีบส่งๆ เค้าไปนั่งโดยไม่ได้ใส่ใจว่า เอ เพื่อนเราเนี่ยนั่งข้างใคร ตรงไหน ถ้าเป็นผมเหรอครับ ผมมักจะให้เพื่อนๆ ใหม่ของผมนั่งหน้าเสมอๆ คือผมว่านั่งหน้าอ่ะได้เปรียบหลายๆ อย่าง มองก็ชัด บรรยากาศก็ตื่นเต้น มีโอกาสนะครับจับมือกับคนพูด ผมว่าสุดยอดเลย ยิ่งถ้าผมเองฝากฝังนั่งข้างๆ SL ที่มี profile คล้ายๆ เค้าแล้วให้เค้าได้มีโอกาสคุยกัน ผมว่าเยี่ยมมากๆ

5.รู้บรรยากาศ: คือต้องหูไว ตาไวครับ ว่าเนี่ยตอนนี้เพื่อนๆ เราเค้าเป็นไงบ้าง ตัวอย่างง่ายๆ เลยครับพาเพื่อนใหม่ไปงาน the winner แน่นอนครับว่าเพื่อนๆ ใหม่อาจจะแอบหลับ เราเองอ่ะครับ ต้องหูไว ตาไวว่าตอนนี้เพื่อนเราเป็นไงบ้าง ไหนๆ เค้าก็มาแล้ว ผมว่าควรใส่ใจถ้าเห็นเค้าเริ่มจะหลุดบรรยากาศ เราเองต้องรีบดึงเค้ากลับมาเช่น ไกด์นำว่าสิ่งที่วิทยากรกำลังพูดอยู่เค้าต้องการสื่ออะไร หรือเล่าเรื่องราวเสริมเกี่ยวกับคนที่แชร์บนเวทีว่าพี่คนนี้เนี่ยเค้ามี profile ไรที่น่าสนใจอีก

6.รู้ว่า After วงไหน: มีหลายๆ ครั้งโดยเฉพาะที่ center เวลาเพื่อนเราพาคนใหม่มาสุดท้ายตอนเลิก เรามัก after โดยรวมเพื่อนในห้อง training ที่เป็นคนเก่าส่วนใหญ่กับเพื่อนๆ ใหม่ที่มาห้อง OPP น้องโอ้บอกเลยครับว่าควรแยกเป็นอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหา 2 ห้องมันต่างกันโดยสิ้นเชิง การมา after รวมกันจะทำให้ไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะเวลาตกผลึกกลายเป็นสิ่งที่ได้บางคนไม่ได้ฟัง สุดท้ายเค้าก็งง พูดเรื่องไรกันอ่ะ ที่สำคัญการ after อ่ะครับไม่จำเป็นหรอกครับที่จะต้อง after วงเพื่อนสนิทเรา ผมว่ามันจะเป็นการเยี่ยมมากๆ ถ้าเรามีโอกาสไป after วงของ SL ผมว่าบรรยากาศนะครับได้อีกแบบเลย

7.รู้สื่ออะไรเหมาะกับเค้า: อันนี้หลายๆ คนเป็นครับ พาเพื่อนมา center ครั้งแรก ก่อนกลับมีการขายสื่อ CD ต่างๆ หลายคนอาจจะมือใหม่ บอกเพื่อน แกๆ นี่ก็ดี นั้นก็ดี กลายเป็นคืนนั้นเค้าซื้อสื่อไปร่วม 400 กว่าบาท ผมว่ามันก็เกินไปอ่ะครับ เราเองแนะนำ CD บางอย่างงที่เหมาะกับเค้าเช่น เค้าสนใจสินค้า เราก็จัด CD สินค้าแนะนำเค้า เค้าสนใจแผนเราก็แนะนำ CD เขียนแผน หรือจะแนะนำหนังสือ ว่าเนี่ยที่พี่ฟังห้อง OPP มามีสรุปอยู่ในนี้นะครับ คงไม่ต้องนะครับ จัดทุกอย่างโดยเพื่อนเองคิด ว่ามาครั้งแรก ต้องซื้อเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นครับ

8.รู้จักเป็นห่วงเป็นใย: สำคัญที่สุดในบรรดา 7 ข้อที่ว่ามาเลย หลายคนพาเพื่อนมาเรียนรู้ร่วมกัน พาไปงานโน้นงานนี้ หลังจากเลิกงานแล้วนะครับ สักอีก 1 ชม. หลังจากแยกย้ายกันผมว่าลองนะครับ โทรไปหาเค้า ถามว่า เป็นไงบ้างถึงบ้านหรือยัง เป็นไงบ้างรถติดหรือปล่าว คือไม่ต้องพูดเรื่อง aimstar แล้วหละครับ เพราะเค้าเองก็เรียนรู้มาทั้งวันแล้ว ความรู้สึกห่วงใยนี่แล่ะครับผมว่าจะได้ใจเพื่อนๆ เราและทีมงานหลายๆ คนได้เลย คิดง่ายๆ ครับ เราเองห่วงยอดหรือห่วงใยเค้า

สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684


วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

MLM คืออะไร / MLM ให้อะไร / MLM เหมาะกับใคร / ทำไมต้อง MLM

mlm ย่อมาจาก multi level marketing
mlm คือ
ระบบ การวางแผนการตลาด การค้ารูปแบบหนึ่ง ซึ่งส่วนมากมองข้ามไป เป็นวิวัฒนาการ ของการคิด การค้า แบบให้ผลตอบแทน หลายชั้น หลายระดับ ทั่วไปมักมองว่าเป็นลูกโซ่ หรือปิรามิด ถ้าลองศึกษาลงไปจะเห็นว่าเป็นระบบที่ดี ตัวอย่างการมอง อยู่ว่าเรามองอย่างไร- หลายคนมองว่า คนมาก่อนได้เปรียบ คนอยู่บนเอาเปรียบ ท่านลองมองระบบงานปัจจุบันครับงานราชการ เป็นปิรามิดที่ชัดเจนที่สุด คือ มี ระดับชั้น ของ ข้าราชการ เช่นมี ซี 1,2,3,4..... อย่างนี้เป็นปิรามิด ไหมครับ มี ซี 1 จำนวนมาก ซี 2 ก็มีน้อยลง จนถึง ซี 11 มีกี่คน- บริษัททั่วไป ถ้าเราเข้าไปเช่น เริ่มจาก พนักงานขาย การจะได้เป็น รองหัวหน้าหน่วย ต้องใช้เวลา และมีรองหัวหน้าหน่วยกี่คน หัวหน้าหน่วยล่ะ อาจมี ซุปเปอร์ไวเซอร์ แล้วมีได้กี่คน และต้องการเป็นผู้จัดการล่ะ มีได้กี่คนนี่แค่เขียนถึงระบบโดยกว้างๆนะครับ ถ้าเจอะลึกลงไป ยังมีสิ่งที่เราอาจขำไม่ออก เช่น วันนี้เราได้งานเป็น พนักงานขาย พร้อมด้วยเพื่อนรักเราคนหนึ่ง ที่พร้อมตายแทนเราได้ ผ่านไป5 ปี เราและเพื่อนต่างขยันขันแข็งทำงานได้ดีมาก บริษัทเปิดโอกาส ให้เราเลือนตำแหน่ง เป็นผู้จักการ แต่ผู้จัดการมีได้กี่คนครับ ส่วนมากหนึ่งเดียว ท่านคิดอย่างไร
--> ให้เพื่อนเป็นไปก่อน แต่ผลงานเราดีกว่าเพื่อนอยู่นิดหน่อย
--> เราเป็นเองดีกว่า (แล้วเพื่อนท่านล่ะคิดอย่างไร)อย่าพึ่งดีใจครับท่าน ปรากฎว่า หลานชายเจ้าของ จบโท มาจากนอกด้านการตลาด ได้เป็นครับนี่แค่ตัวอย่างนะครับ

MLM ให้อะไร ใช่เรื่องแรกต้องควรรู้ก่อนว่าให้อะไร ใช่ไหมครับ จะได้ใช้เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจ จากการศึกษาถึงระบบ mlm สิ่งได้พบจุดเด่น ของระบบนี้ คือ
> ความเท่าเทียม หรือ โอกาส การสร้างธรุกิจ(รายได้)
> การไม่จำกัดรายได้
> ไม่จำกัดเวลา
ข้อเสีย คนไม่เข้าใจแล้วนำไปคิดเอง โดยไม่ศึกษา และนำไปถ่ายทอดแบบไม่ถูกต้องmlm เหมาะกับใคร เรื่องนี้บอกได้อย่างเดียวว่า เหมาะสำหรับทุกท่าน การสร้างธุรกิจ mlm คือการสร้างเครือข่าย ใครสร้างได้มาก ย่อมมีรายได้มาก ในความเห็นส่วนตัวผม ควรสร้าง ธรุกิจ mlm ไว้สำรอง ถึงท่านจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เพราะ mlm ไม่มีต้นทุนเพิ่ม มีแต่ รายได้เพิ่ม

สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684


แชร์ลูกโซ่คืออะไร…?

แชร์ลูกโซ่คืออะไร…?
แชร์ลูกโซ่ หมายถึง รูปแบบการดำเนินธุรกรรมที่มุ่งประสงค์เพื่อหารายได้จากการระดมทุนเป็นหลัก โดยมีการสัญญาในการเข้าร่วมธุรกิจที่จะตอบแทนผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สูงกว่าเงินลงทุน ซึ่งผู้ประกอบการมักจะอ้างถึงการนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ต่อ ๆ ไป เพื่อปันรายได้แจกจ่ายผู้เข้าร่วมธุรกิจอย่างทั่วถึง แต่ผลของมัน คือ การที่ตอบแทนผลประโยชน์ในช่วงต้น ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการร่วมธุรกิจต่อเนื่องจนเมื่อถึงจุดที่ผู้ประกอบการหวังผลในการระดมทุนสำเร็จแล้ว ก็จะหาทางปิดตัวไปเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายผลประโยชน์ต่อ ๆ ไป หรืออาจจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าฐานที่เข้ามาหรือผู้เข้าร่วมธุรกิจที่เข้ามาในช่วงหลังจะไม่สามารถหมุนเวียนเงินตอบแทนได้กับคนที่มาก่อนได้ ก็จะเริ่มปิดตัวลง

ลักษณะและวิธีการดำเนินงาน
การหาสมาชิก และการจ่ายผลประโยชน์ ส่วนใหญ่วิธีการดำเนินงานของแชร์ลูกโซ่จะเริ่มจากวงแคบ ๆ จากเพื่อนคนใกล้ชิดแล้วค่อย ๆ ขยายตัวไปรอบนอก จนถึงขั้นควบคุมไม่ได้ เพราะจะเริ่มออกสู่วงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ การหาสมาชิกก็จะใช้วิธีสร้างภาพลวง หว่านล้อมให้เกิดความเชื่อและการจ่ายผลประโยชน์กับสมาชิกระดับต้น ๆ หรือใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ อีกข้อหนึ่ง คือ สมาชิกเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนสนิทของกลุ่มผู้ก่อตั้งแชร์ลูกโซ่อยู่แล้ว ย่อมมีผลประโยชน์คาบเกี่ยวกันมากมาย ดังนั้น จึงสามารถที่จะสร้างภาพลวงร่วมกันได้ สุดท้ายเมื่อได้ระดมทุนตามประสงค์แล้วก็จะปิดตัวลง ซึ่งสมาชิกระดับใกล้ชิดก็จะไม่เสียประโยชน์ใด ๆ ส่วนแมลงเม่าที่บินมาภายหลังส่วนใหญ่จะเป็นผู้เสียหาย และตามตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ เพราะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ครั้นจะมาหาข้อมูลจากสมาชิกระดับผู้นำก็เปล่าประโยชน์ เพราะได้ปิดปากตัวเองแล้วจากผลประโยชน์ที่คาบเกี่ยวกันกับเจ้าของแชร์ลูกโซ่



สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684


วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

คำถามที่พบบ่อย ๆในธุรกิจ MLM

1. ความมั่นคง ความน่าเชื่อถือของบริษัท ผลตอบแทนจ่ายจริงหรือไม่ ? ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ได้มี “พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง” ขึ้นมา โดยกำหนดไว้ว่า บริษัทที่จะทำธุรกิจในระบบเครือข่าย (MLM) ต้องยื่นจดทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ถ้าหากบริษัทใดที่สามารถผ่านขั้นตอนการตรวจสอบจาก สคบ. และได้การรับรอง ก็ถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ และมั่นคงเพียงพอ เนื่องจากการยื่นขอ สคบ. นั้นยากมาก และมีขั้นตอนการตรวจสอบ อย่างถี่ถ้วน เพราะทาง สคบ. จะตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงทางการเงิน และ แผนการตลาดของบริษัทว่ามีความสามารถ จ่ายผลตอบแทนได้จริงตามที่ตกลงกับสมาชิกหรือไม่ และเมื่อได้รับ สคบ. แล้วจะไม่สามารถปิดตัวเอง หรือเลิกกิจการได้ง่ายๆ หากเกิดเหตุที่บริษัทไม่สามารถจ่ายเงินตอบแทนให้สมาชิกได้ สคบ. จะดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ ให้กับสมาชิกจนถึงที่สุด ทั้งนี้ทางบริษัทได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และผ่านการรับรองจาก “ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ” หรือ สคบ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำเนาเอกสารการจดทะเบียน ท่านจะได้รับพร้อมกับชุดการดำเนินธุรกิจ หลังจากท่านสมัครเป็นสมาชิกเข้าร่วมโครงการฯ

2. เป็นลูกโซ่หรือไม่ ? วิธีสังเกตุและแยก MLM ออกจากลูกโซ่ที่ง่ายที่สุด ก็คือ ให้ดูว่าธุรกิจเครือข่ายนั้นๆ ได้จดทะเบียนกับ สคบ. เรียบร้อยหรือยัง ถ้าเป็นลูกโซ่ จะไม่สามารถได้รับ การรับรองจาก สคบ.เพราะการตรวจสอบจะเป็นไปโดยละเอียด ว่าแผนการตลาดนั้น ๆ มีแนวโน้มไปในด้านการระดมทุน หรือลูกโซ่ (ปิรามิด) หรือไม่ ประชาชนส่วนใหญ่มักจะยังสับสน และเกิดความเข้าใจผิดว่าการตลาดแบบเครือข่ายนั้น เหมือนกันกับลูกโซ่หรือปิรามิด ซึ่งในความจริงแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในหลาย ๆ ด้าน เช่น การตลาดแบบเครือข่ายจะมุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพสินค้าที่สมราคา และจะไม่มีการยุแหย่ให้สมาชิกลงหุ้นเพิ่มเติม หรือเพิ่มทุนซึ่งต้องใช้เงินจำนวนหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท ซึ่งแตกต่างจากลูกโซ่หรือปิรามิด ที่ส่วนใหญ่จะกระทำในลักษณะ การนำสินค้าคุณภาพต่ำมาจำหน่ายในราคาสูง เพื่อการระดมเงินลงทุน โดยเริ่มจากน้อยและค่อย ๆ หว่านล้อมให้สมาชิกนำเงินมาลงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยนำผลตอบแทนในเบื้องต้น เป็นตัวล่อเพื่อดึงดูดใจ และดูดเงินลงทุนจากสมาชิกเพิ่มมากขึ้นในลักษณะการเพิ่มทุน จึงขอเตือนทุกท่านให้ ระวัง!! บริษัทที่มีพฤติกรรมดังกล่าวซึ่งปัจจุบันมักแฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ และถือเป็นกาฝากที่ทำให้ระบบการตลาดดี ๆ อย่างระบบเครือข่ายได้รับความกระทบกระเทือน เพราะต้องสูญเสียความมั่นใจจากคนทั่วไป เนื่องจากการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการทำงานในรูปแบบเดียวกัน

3.MLM คืออะไร ? MLM (Multilevel Marketing) คือการขยายเครือข่ายผู้บริโภค เพื่อมุ่งเน้นการคืนกำไรสู่ผู้บริโภค ผ่านแผนการตลาด ที่วิเคราะห์โดยนักการตลาดมืออาชีพ ให้เราแปรรูปจากการเป็นผู้บริโภคธรรมดา มาเป็นได้ถึง 3 สถานภาพ โดยเป็นทั้งลูกค้า ผู้ขาย และ ผู้บริหาร ในคนเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ที่ ผู้ทำ MLM ไม่ได้ขายสินค้าเอง แต่มีรายได้เป็นแสน เป็นล้านบาท เพราะเขาได้ทำการบริหารองค์กร เขาจึงมีรายได้จากการบริหารจำนวนมากต่อเดือน MLM เป็นระบบการตลาดที่ให้โอกาสในการประสบความสำเร็จแก่ทุกคนเท่าเทียมกัน โดยไม่สำคัญว่าจะเป็นใคร และใครเข้ามาก่อนหรือใครเข้ามาที่หลัง เป็นการเปิดโอกาสให้คุณสามารถทำธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ลองศึกษาแผนการตลาดของเราให้ดีเถอะครับ จะได้ไม่ต้องเสียโอกาสดี ๆ ถ้าบริษัทดี แผนการตลาดดีตรงใจคุณ ทีนี้ก็เหลืออยู่แต่ว่าตัวคุณเองนั่นแหละพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงหรือยัง?

4. ลักษณะการทำงานแตกต่างจากงานทั่วไปอย่างไร ? งานทั่วไป เมื่อคุณหยุดทำงานนั่นหมายถึงรายได้ที่หยุดตามไปด้วย งานทั่วไปใช้แรงใช้ความรู้ทำงาน แต่ยังไม่พอกับรายจ่าย และก็ยังต้องทำอยู่ตลอดเวลา งานบางอย่างต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เพื่อหวังให้ธุรกิจเติบโต แต่สุดท้ายคุณไม่สามารถควบคุมคู่แข่งทางธุรกิจได้ และต้องวิ่งหาเงินให้ธนาคารจนไม่รู้ว่าจะหยุดได้เมื่อไหร่ มีคุณเพียงคนเดียวที่เป็นผู้กำหนดความสำเร็จ หรือความล้มเหลว โดยมีความสามารถและเวลาเป็นตัวขับเคลื่อน สภาพเศรษฐกิจเป็นตัวแปร หากวันนี้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับคุณ นั่นหมายถึงความล่มสลาย ของคนอีกหลายคน ที่เดินตามหลังคุณ อะไรที่ทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่เจอกับความล้มเหลว ในเมื่อเส้นทางเส้นนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทุกอย่าง เราสามารถบรรเทาความเดือดร้อนได้โดยการวางแผนที่ดี ตั้งแต่ในวันนี้

5. เป็นมรดกได้หรือไม่ ? สามารถเป็นมรดกได้ เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นหมอใช้เวลาเรียนแพทย์เกือบสิบปี มีรายได้เป็นแสนต่อเดือน โดยที่ภรรยาของเขาไม่ต้องทำงานใดๆ แล้วพอวันหนึ่งได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิตครอบครัวต้องเดือดร้อนเพราะสูญเสียเสาหลักไป ธุรกิจคลีนิคที่เคยเป็นรายได้หลักก็ไม่สามารถทำต่อไปได้เพราะว่าในครอบครัวไม่มีใครมีความรู้ทางด้านนี้ และก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าลูกของเขาเมื่อโตขึ้น จะสามารถสอบเข้าเรียนแพทย์และเป็นหมอเหมือนกับพ่อของเขาได้ แต่ถึงจะได้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนกับพ่อของเขา ผมยังนึกเสียใจอยู่ว่าถ้าตอนนั้นมีโครงการดี ๆ แบบนี้ ครอบครัวของเพื่อนผมก็คงไม่ต้องลำบาก ผมเองก็ไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้มากนัก ทำได้เต็มที่ก็เพียงตามกำลังทรัพย์เท่าที่ผมจะช่วยได้ จะมีก็แต่ให้กำลังใจในการ สู้และดำรงค์ชีวิตอยู่ต่อไป ผมมั่นใจว่าถ้าตอนนั้นมีบริษัทที่ดี และโครงการฯ ดี ๆ แบบนี้อยู่ เพื่อนผมต้องตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ นี้อย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ครอบครัวที่เขารักได้มีความสุข และมีรายได้ที่สองมารองรับรายได้หลักไว้ เพื่อครอบครัวของเขา สามารถที่จะ รับมรดก เป็นเงินผลประโยชน์ต่อจากเขาได้ต่อไป

6. ไม่ชอบงานขาย ไม่ชอบสาธิตสินค้า เราไม่ได้ต้องการนักขาย เราแค่ต้องการคนที่ ต้องการความมั่นคงทางด้านการเงิน และอยาก ช่วยเหลือเพื่อน หรือคนรู้จักที่มีปัญหาทางด้านการเงิน อย่างน้อยสองคน

7. ถ้าไม่ขายสินค้า แล้วรายได้จะมาจากไหน ? รายได้มาจากแผนการตลาดของบริษัท ที่ถูกวางแผนโดยนักการตลาดมืออาชีพ ซึ่งจะเป็นผู้บริหารรายจ่ายของท่าน แปรเปลี่ยนเป็นแหล่งรายได้ โดยไม่ต้องอาศัยความสามารถพิเศษ หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันแต่ประการใด

8. เงินลงทุนสูงเกินไป ถ้าคิดจากสิ่งที่คุณ จะได้รับแล้วไม่นับว่าเงินลงทุนสูงเกินไปเลย เพราะว่านอกจากคุณจะได้รับสินค้าคุณภาพดีตามจำนวนเงินที่คุณจ่ายแล้ว คุณยังจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ที่สามารถจะมีเงินตอบแทนกลับมา จำนวนมหาศาลให้กับคุณ โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมใดๆ อีกเลยตลอดชีวิต คุณคิดว่าคุ้มหรือไม่ และ ที่พิเศษนอกจากเงินผลตอบแทนที่คุณจะได้รับแล้ว คุณยังได้รับประกันชีวิต โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าในปีถัด ๆ ไป คุณจะไม่มีเงินจ่ายเบี้ยประกันหรือไม่ แล้วคุณยังคิดว่า เงินลงทุนสูงไปอีกหรือ ?

9. จ่ายผลตอบแทนในรูปแบบใด ? บริษัทจะทำการจ่ายผ่านเข้าบัญชีธนาคารให้กับสมาชิกทุกท่าน

10. ถ้าสมาชิกที่เราแนะนำมา 2 คน ทำตามเงื่อนไขไม่ได้ จะทำอย่างไร? ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะสามารถทำตามเงื่อนไขของโครงการตามที่ได้ระบุไว้ ในหัวข้อ “เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ” ได้ และคุณต้องแน่ใจว่าผู้ที่คุณแนะนำมาเข้าร่วมโครงการ 2 คนนั้น สามารถที่จะทำตามเงื่อนไขได้เหมือนคุณ แต่ในกรณีที่เขาไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ คุณต้องหาสมาชิกที่สามารถทำตามเงื่อนไขได้มาแทน โดยทุกคนจะมีหน้าที่ดูแลแค่สองคนติดตัวให้ทำตามเงื่อนไขเท่านั้น ในส่วนลึกๆของสายงานนั้นเป็นหน้าที่ของผู้แนะนำของแต่ละคนที่จะดูแลผู้ที่ตนเองแนะนำมา และ ระบบก็จะสามารถเติบโตไปได้เองตามธรรมชาติ โดยมีนักการตลาดมืออาชีพของทางโครงการฯ เป็นผู้ดูแลแทนคุณ

11. ตลาดอิ่มตัวมั้ย ? สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดๆ อยู่ทุกวันนี้คือ ตำแหน่งหน้าที่การงานที่เราทำอยู่นั้นต่างหาก ที่อิ่มตัวหรือใกล้จะอิ่มตัวแล้ว และเมื่อมีตำแหน่งว่างขึ้นบ้าง ก็คงมีเพียงแค่ 1 หรือ 2 ตำแหน่งต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนพนักงาน ที่มีอยู่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าโอกาสที่จะมาถึงคุณนั้น น้อยมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากสภาพความใกล้อิ่มตัวสักเท่าไหร่ " ทำไมคุณจึงทนทำอยู่ " เลิกคิดถึงเรื่องนี้เถอะครับมันเป็นธรรมดาโลก สังคมเราเติบโตขึ้นทุกวัน เมื่อผมเป็นเด็กประเทศเรามีประชากรอยู่ 30 ล้านคน วันนี้เรามีถึงเกือบ 70 ล้านคนแล้ว ถ้าเห็นว่าธุรกิจนี้เหมาะกับตัวคุณก็ลงมือทำเถิด อีก 10 ปีผ่านไป ชีวิตของคุณ ก็ได้อะไรไปมากมายแล้ว ถ้าไม่มัวแต่จะมาคอยรอดูว่า มันจะอิ่มตัวหรือไม่ และ 10 ปีที่จะผ่านไปนี้ คุณก็คงใช้ชีวิตเหมือนเดิม

12. ไม่เคยทำธุรกิจด้านนี้มาก่อน บางคนบอกผมว่า ไม่เคยทำธุรกิจทางด้านนี้มาก่อน ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ เขาคงทำไม่ได้ และเขาก็ยืนยันที่จะไม่ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ทั้งๆที่ในขณะนั้นบางคนก็ตกงาน หรือ เงินเดือนไม่พอใช้ ไม่มีลูกค้า ของก็ขายไม่ได้ เศรษฐกิจก็ไม่ดี และ เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมีทางเลือกในชีวิตมากมายอะไรนัก ได้แต่คาดหวังว่าวันหนึ่ง อะไรๆ มันคงจะดีขึ้น หรือมันจะกลับมาดีเหมือนเดิม โลกเราในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และยังคงเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง อาชีพหลายอาชีพแบบเดิมๆ ก็อาจจะไม่มีให้เห็นอีก ในขณะที่งานหรือธุรกิจ อีกหลายรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะมีให้ได้เห็นกัน และถ้าคุณยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ยอมเรียนรู้ หรือ ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ดู คุณอาจต้องยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว เพราะโลกใบนี้ หมุนไปไกลแล้ว และไม่มีวันหมุนย้อนกลับที่เดิมแน่นอน ในชีวิตของคนแต่ละคน มีหลายครั้งที่ต้องตัดสินใจทำบางสิ่งเป็นครั้งแรก เช่น ไปโรงเรียนวันแรก ทำงานวันแรก หรือ แม้แต่เข้าพิธีแต่งงานครั้งแรก ดังนั้นการปฏิเสธไม่ทำอะไรด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่เคยทำมาก่อน คงไม่ใช่เหตุผลที่ดีนัก คิดใหม่เถอะครับ ลองศึกษาลองทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง สิ่งที่ไม่เคย ก็จะได้เคยกันคราวนี้แหละ

13. ง่ายเกินไปหรือเปล่า? เห็นธุรกิจอันอื่นเขาทำกันยากกว่าจะสำเร็จ การที่เราคิดว่าง่ายเป็นเพราะว่าเราไปเปรียบเทียบกับ ธุรกิจเครือข่ายแบบเก่าๆ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมานานมากแล้ว ซึ่งบางแผนการตลาด ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเมื่อ 20-30 ปีก่อน และแผนการตลาดแบบใหม่นี้ ได้แก้ไขข้อบกพร่อง และ จุดอ่อนของแผนการตลาดแบบเก่า ได้ทั้งหมด เราลองคิดดู เมื่อสมัยก่อนมีคนบอกว่าจะทำให้เหล็กบินได้ ใครได้ฟังก็มีแต่คนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ พอมีผู้ประดิษฐ์คิดค้น เครื่องบินใบพัดขึ้นมา ทุกคนก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครทำได้ดีกว่านี้อีกแล้ว เราลองมาดูปัจจุบันนี้กัน สมัยนี้มีทั้งเครื่องบินไอพ่น หรือ แม้กระทั่งยานอวกาศ หรือไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ หรือ คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว โลกเราไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ทุกสิ่งทุกอย่างมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แผนการตลาดก็เหมือนกัน สมัยก่อนเราอาจจะมองว่าสิ่งนั้นดีที่สุดแล้ว พอมีสิ่งอื่นออกมาที่มันง่ายกว่า หรือแตกต่างจากของเก่า ก็เลยมีความรู้สึกว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือ ลองเปิดใจให้กว้างๆ แล้ววิเคราะห์ดูให้ละเอียด ผมไม่ได้บอกว่าแผนการตลาดนี้ดีที่สุด เพราะในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้า อาจจะมีแผนการตลาดที่ดีกว่านี้ออกมาก็ได้ คุณอาจจะรอถึงตอนนั้นแล้วค่อยทำ แต่อย่าลืมนะครับ โลกเราไม่ได้หยุดนิ่ง 10-20 ปีต่อจากนั้นก็อาจจะมีของที่ดีกว่าออกมาอีกก็ได้ แต่ชีวิตของเราหรือคนที่เรารัก กลับเหลือน้อยลงเรื่อยๆ คนที่เราอยากจะมอบสิ่งที่ดีๆ ตอบแทนแก่เขา บางทีเขาอาจจะไม่สามารถรอถึงวันนั้นก็ได้



สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

การเป็นเจ้าของธุรกิจเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จ

มีดังนี้คือ

1. ต้องมีการกำหนดภารกิจเป้าหมายก่อน คุณต้องหาเป้าหมายให้ได้ก่อนว่าทำธุรกิจนี้ไปทำไม ทำธุรกิจนี้แล้วได้อะไร ไม่สำคัญกว่าทำธุรกิจนี้ไปทำไม ถ้าคุณทำเพราะดีกว่าอยู่เปล่าๆ ผมแนะนำว่าอยู่เปล่าๆดีกว่าครับคุณต้องมีเป้าหมายเพื่อคนอื่นก่อน จึงจะทำธุรกิจนี้ได้ ธุรกิจนี้จะประกอบด้วย 2 ส่วน 1.คุณต้องอยากที่จะประสบความสำเร็จ 2.คุณต้องช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จด้วยถ้าคุณช่วยผู้อื่นสร้าง ทีมงานไม่ได้ คุณก็ไม่ประสพความสำเร็จอยู่ดี คุณก็หยุดไม่ได้อยู่ดี ต้องคิดให้ได้ว่าเวลากับเงินอย่างไหนสำคัญกว่ากัน คุณทำงานประจำก็ได้เงินครับ ไม่ต้องมาทำเครือข่ายหรอก เช้าไปทำงานเย็นกลับบ้านเช้าไปทำงานเย็นกลับบ้านคุณก็ได้เงิน แต่เวลาที่เราต้องเสียไปวันละ 8 ชั่วโมง เราไม่สามารถใช้เงินซื้อกลับมาได้ ถ้าคุณเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจเคือข่าย คุณทำธุรกิจอะไรก็ได้หมด เพื่ออิสรภาพด้านเวลา คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานตลอดชีวิต ภารกิจเป้าหมายนั้นยากจะวัด เห็น หรือจับต้องได้ " ภารกิจเป้าหมายจะช่วยให้คุณยึดมั่นอยู่กับความมุ่งหมายเดิมได้ เพราะในช่วงเริ่มต้น ปัจจัยหลายๆ อย่างอาจทำให้คุณออกนอกลู่นอกทางได้ ทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมได้คือ ให้ทบทวนดูภารกิจเป้าหมายของคุณใหม่ และพิจารณาว่าการแตกออกไปมีผลต่อการบรรลุเป้าหมายของคุณหรือไม่ ถ้ามี คุณต้องจัดการกับปัญหานั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้คุณกลับมาทุ่มเทความพยายามให้กับภารกิจเป้าหมายทั้งหมดอีกครั้ง " (พ่อรวยสอนลูก 4 หน้า 263 )

2.ทำงานเป็นทีม นี้คือจุดเด่นที่ธุรกิจอื่นไม่มี เจ้าของร้านส่วนมากทำงานคนเดียว เปิดร้าน ขายของเอง เก็บเงินเอง ทำบัญชีเอง ปิดร้านเอง จ่ายภาษีเอง โอนเงินเอง กู้เงินเอง ไม่มีใครเก่งกว่าเรา แล้วก็ทำเองไปตลอด แต่ธุรกิจเครือข่ายเรามีโอกาสแล้วที่จะเล่นเป็นทีมได้จงทำงานกับจุดแข็งของทีมเราเสมอ set ทีมงานออกมา คนไม่มีรถสปอนเซอร์คนมีรถ คนพูดไม่เก่งสปอนเซอร์คนพูดเก่ง รู้จักคนน้อยสปอนเซอร์คนกว้างขวาง การทำงานเป็นทีมคุณอย่าเป็นคนที่เก่งที่สุด ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเรารวมจุดแข็ง แล้วรู้ว่าจะทำงานกับจุดแข็งไหนได้ จะเป็นทีมที่เข้มแข็งมาก คุณจะไปสปอนเซอร์ ดร. คุณมองหาในทีมมีใครเป็น ดร. มั๊ย คุณจะสปอนเซอร์หมอ ใครในทีมน่าจะเหมาะที่จะคุยกับหมอ โอกาสที่จะสำเร็จก็มากกว่า ใครถนัดในสินค้าตัวไหน ใครในทีมที่สามารถให้คำตอบนี้ได้ การทำงานเป็นทีม รวมถึงการปรึกษาอัพไลน์ในสายงาน เน้นว่าต้องเป็นอัพไลน์ที่ active และ อยู่ในภารกิจเป้าหมายเดียวกับเรา อัพไลน์บางคนอยากให้คุณออกไปขายสินค้าเพราะต้องการยอด หรือใช้แนวทางที่ผิดบางอย่าง เช่นให้เราตุนสินค้า ให้เราผ่อนของมาเยอะๆ เราต้องพิจรณาดีๆ เพราะธุรกิจเราไม่ใช่ธุรกิจอัพไลน์ ถ้าเรารู้สึกว่าออกนอกแนวทางให้เรา รีบทบทวนภารกิจเป้าหมายทันที

3. คุณต้องเป็นผู้นำ ในธุรกิจเครือข่ายจะมีการฝึกอบรมหลายอย่าง ที่จะค่อยๆสร้างความเป็นผู้นำให้เกิดกับคุณ ต้องศึกษาให้ดี เพราะความเป็นผู้นำเป็นประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงินอีกอย่างนึงที่มีค่ามหาศาลมาก ที่ได้รับจากธุรกิจนี้ การเป็นผู้นำก็คือการดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดในตัวคนแต่ละคนออกมา ไม่ใช่เป็นคนที่เก่งที่สุดเสียเอง เราไม่ได้ใช้ผู้คนในการสร้างธุรกิจ แต่เราใช้ธุรกิจในการสร้างผู้คน มีหลายสิ่งมากที่คุณจะถูกฝึกโดยที่ไม่รู้ตัว เช่น การเป็นผู้ฟังมากกว่าพูด การลงมือทำมากกว่าการนั่งวิจารณ์ อาสาทำงานนั้นๆโดยไม่มีการร้องขอ เสียสละ การพูดต่อหน้าคนหมู่มาก วิสัยทัศน์ การเข้าหาผู้คน พัฒนาบุคลิคภาพ แรงบันดาลใจ ฯลฯ " ผู้นำจะต้องมีบทบาทในการกำหนดวิสัยทัศน์ การนำทีม ในบทบาทของผู้ชี้นำวิสัยทัศน์ ผู้นำจะต้องถือมั่นในภารกิจเป้าหมาย ผู้นำต้องคอยจุดประกายในการทำงานร่วมกันเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย พร้อมกับคอยป่าวร้องในความสำเร็จที่เกิดขึ้นไปด้วยตลอดทาง ผู้นำต้องสามารถออกมาตรการเข้มข้น ในยามที่เห็นว่าทีมเขวออกจากถนนสู่ภารกิจเป้าหมาย ความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมไปกับการดำรงความมุ่งมั่นสู่ภารกิจเป้าหมายสูงสุดไว้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็นผู้นำอย่างแท้จริง " ( พ่อรวยสอนลูก 4 หน้า 277 )

4. การบริหารกระแสเงินสด เป็นพื้นฐานและเป็นหัวใจสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะประสบความสำเร็จ คุณต้องมีความรู้ทางการเงินและสามารถแยกแยะได้ว่า การที่เราจ่ายเงินออกไปในธุรกิจนี้ อะไรคือการลงทุน อะไรคือค่าใช้จ่าย คนส่วนใหญ่มาตกม้าตายที่นี่ครับ เพราะไม่รู้ถึงความแตกต่างของการลงทุน และค่าใช้จ่าย ซื้อสินค้ามาเยอะๆเลยน้องเดี๋ยวช่วยกันขายนะ ไม่ต้องห่วงเป็นการลงทุน นี่คือการลงทุนจริงๆหรือ?....ไม่ใช่นี่คือค่าใช้จ่าย คุณกำลังทำเกินตัว ผมขออนุญาตเปรียบกับธุรกิจอสังหาฯ ก่อนเริ่มธุรกิจอสังหาฯ คุณจะต้องมีความรู้มากพอก่อน เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายคุณต้องทำงานบนข้อมูลความรู้ก่อน จากนั้นคุณจะต้องมองหาอสังหาฯที่จะลงทุน เงินก้อนแรกจะลงไปในการดาวน์อสังหาฯนั้นเป็นการลงทุน ถ้าคุณไม่จ่ายคุณก็ไม่ได้อสังหาฯนั้นมาก็จบ เหมือนกันในธุรกิจนี้เงินก้อนแรกก็คือค่าสมัคร ถ้าคุณไม่สมัครก็ทำธุรกิจนี้ไม่ได้ ต่อไปคุณก็ต้องลงทุนในการตกแต่งอสังหาฯของคุณ จัดระบบดำเนินการ หาคนเช่า โฆษณา ทำการตลาด ฯลฯ ในธุรกิจเราก็เหมือนกันครับ เราจะมีค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ หนังสือ เทป การเข้าห้องเรียน สินค้า จากนั้นธุรกิจอสังหาฯ จะเริ่มเดินหน้าเมื่อเรามีคนเช่า รายได้จากค่าเช่าต้องมากกว่าหรือเท่ากับ เงินที่คุณต้องจ่ายผ่อนให้ธนาคารในแต่ละเดือน คุณจะให้รายได้จากธุรกิจจ่ายตัวมันเอง เมื่อรายได้จากค่าเช่ามากกว่ารายจ่ายให้ธนาคารคุณจะเกิดเงินสดในมือเพิ่มขึ้น เงินนั้นคุณสามารถใช้ในการขยายกิจการอสังหาฯต่อ ดาวน์อสังหาฯอื่นเพิ่ม หรือใช้ในการใดๆก็ได้ที่จะขยายกิจการออกไป

5. การบริหารการสื่อสาร พ่อรวยของ Robert ได้กล่าวว่า " ถ้าเธอต้องการสื่อสารให้ได้ดี ขั้นแรกเธอต้องมีความรู้ด้านจิตวิทยา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรู้ว่าแรงจูงใจของคนแต่ละคนคืออะไร สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้คนอื่นตื่นเต้นตามไปด้วย ถ้าอยากเก่ง เรื่องการสื่อสาร เธอต้องรู้ว่าควรจะกดปุ่มไหน เพราะแต่ละคนก็มีปุ่มจูงใจที่แตกต่างกันที่สำคัญคือ คนช่างพูดหาง่าย แต่คนตั้งใจฟังหายาก โลกนี้เต็มไปด้วยสินค้ายอดเยี่ยมมากมาย แต่เงินทองจะไหลไปหาผู้ที่สื่อสารได้ดีที่สุดเท่านั้น" วันนึงมีชายหนุ่มไปหา Robert แล้วถามว่า " ผมต้องการเริ่มต้นธุรกิจคุณช่วยแนะนำผมหน่อยเถอะ ผมควรจะทำอย่างไรดีก่อนที่จะเริ่มต้น" Robert ตอบไปว่า "หางานทำในบริษัทที่ฝึกให้คุณเข้าใจในการขายดีขึ้น" ชายหนุ่มตอบมาว่า "ผมเกลียดการขาย ผมไม่ชอบขายของ และผมไม่ชอบพนักงานขาย ผมเพียงแต่อยากเป็นประธานบริษัท และจ้างพนักงานขายมาทำงานให้เท่านั้น" เมื่อชายหนุ่มพูดจบ Robert ก็จับมือเขาและอำนวยพรให้เขาโชคดี บทเรียนสูงค่าที่พ่อรวยผมก็คือ "อย่าไปเถียงกับคนที่ขอคำแนะนำ แต่กลับไม่ต้องการคำแนะนำที่เธอให้ เธอควรรีบตัดบททันทีแล้วกลับมาใส่ใจในธุรกิจของเธอดีกว่า" " ถ้าเธอต้องการเป็นคนที่อยู่ในด้านB ทักษะประการแรกที่เธอจะต้องฝึกคือความสามารถในการสื่อสารและพูดภาษาเดียวกับคนในอีก 3 ด้านที่เหลือ คนในอีก 3 ด้านที่เหลือจะรู้เพียงภาษาของด้านตัวเองเพียงด้านเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากคนในด้าน B รู้ภาษาของตนเพียงด้านเดียว พวกเขาก็จะไปไม่รอด เพราะงานหลักประการเดียวสำหรับคนด้าน B ก็คือการสื่อสารกับผู้คนในด้านอื่นๆ ให้มีประสิทธิผล" "ผม (Robert) แนะนำคนเหล่านั้นให้เข้าร่วมธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายเพื่อที่จะหาประสบการณ์ด้านการขาย องค์กรการตลาดบางแห่งมีโปรแกรมฝึกอบรมการขายและการสื่อสารที่ดี ผมเคยเห็นคนที่ขี้อายชอบเก็บตัวมากๆกลายมาเป็นผู้สื่อสารที่เปี่ยมพลังและประสิทธิผล และไม่กลัวการปฏิเสธหรือการหัวเราะเยอะอีกเลยการเตรียมจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ คนด้าน B โดยเฉพาะเมื่อทักษะการสื่อสารของคุณยังไม่ได้พัฒนาถึงขั้นสูงสุด" ความแตกต่างระหว่างการขายและการตลาด เนื่องจากการขายและการตลาดก็เป็นการสื่อสารอย่างนึงแต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ การขายเป็นเรื่องที่ทำเป็นรายบุคคล ตัวต่อตัว แต่การตลาดเป็นการขายที่เป็นระบบ การขายเป็นเรื่องของคนด้าน S แต่การตลาดเป็นเรื่องของคนด้าน B ที่จะเรียนรู้ว่าการขายผ่านระบบได้อย่างไร( การสื่อสารภายนอก ได้แก่ การขาย การตลาด การบริการ การประชาสัมพันธ์ )( การสื่อสารภายใน ได้แก่ การแบ่งปันชัยชนะและความสำเร็จกับคณะทำงานทุกคน การประชุมตามปกติ การสื่อสารกับที่ปรึกษา )

6. ระบบที่ทีมงานลอกเลียนแบบได้ ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจโตแบบมีเสถียรภาพ คุณต้องทำงานเป็นระบบ และจัดการระบบย่อยๆ หลายอย่างให้ทำงานพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ตัวคุณไม่แต่งตั้งตัวเองเป็นระบบซะเอง อะไรคือระบบที่ช่วยในการสนับสนุนธุรกิจคุณ อะไรคือระบบในการทำซ้ำและลอกเลียนแบบลงไปในองค์กร ความลับสำคัญประการนึงที่คนไม่สำเร็จในธุรกิจนี้ คือ การตั้งตัวเป็นระบบโดยไม่รู้ตัว คุณเป็นระบบสนับสนุนเอง คุณเป็นระบบการศึกษาเอง คุณสอนดาวน์ไลน์ทุกคนเอง คุณไปรับทุกคนที่บ้านเอง คุณจัดประชุมเอง คุณเขียนแผนเอง คุณขายของเอง คุณ และ คุณ และ คุณ ทำเองหมดทุกอย่าง คุณก็อยู่ด้าน S เท่านั้น คุณต้องหาระบบมาใช้ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น ถ้าระบบทุกอย่างมันทำงานของมันเองได้ คุณจะต้องทำอะไรอีกนอกจากใช้มัน แล้วคุณจะต้องทำให้ระบบนั้นๆ ง่ายต่อการทำซ้ำและลอกเลียนแบบได้ แล้วคนในองค์กรก็จะเกิดการทำซ้ำขึ้น และลอกเลียนแบบกันออกไป ถ้าคุณอยากจะผลิตของ 100 ชิ้นก็แค่นำวัสดุสำหรับผลิต 100 ชิ้นใส่เข้าไปในระบบ

7. กฏหมาย ควรจะมีความรู้ด้านนี้ด้วย เพราะในการทำงานก็จะเกิดคำถามขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะ ธุรกิจนี้ผิดกฏหมายใช่หรือไม่ จ่ายภาษีอย่างไร การรับรองจาก อย. กฏหมายเกี่ยวกับยา (สินค้าบางอย่างถือว่าเป็น ยา ห้ามจำหน่าย จ่าย แจก หรือลดราคา) กฏหมายเกี่ยวกับผู้บริโภค

8. การบริหารผลิตภัณฑ์ ทำไมสินค้าราคาแพง สินค้าคุณภาพดีจริงหรือไม่ พ่อรวยสอน Robert ว่า "สินค้าของบริษัทคือองค์ประกอบสุดท้ายในการทำธุรกิจ และเป็นส่วนที่สำคัญน้อยที่สุดในการพิจารณา โลกนี้เต็มไปด้วย สินค้าที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่พวกเขายังยืนกรานกับผมว่า ความคิดหรือสินค้าใหม่ของพวกเขาดีกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน การคิดว่าสินค้าหรือบริการที่ดีกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มักจะอยู่ในหัวของคนด้าน E และ S เสมอ เพราะในงานของพวกเขา การเป็นคนเก่งที่สุดหรือให้บริการดีที่สุดคือปัจจัยหลักของความสำเร็จ แต่ทว่าสำหรับคนด้าน B และ I ส่วนที่สำคัญที่สุดในธุรกิจคือ องค์ประกอบทั้งหมดซึ่งประกอบขึ้นเป็นระบบที่อยู่เบื้องหลังสินค้าต่างหาก ผมว่าพวกเราส่วนใหญ่สามารถทำแฮมเบอร์เกอร์ ได้อร่อยกว่าแมคโดนัลด์ แต่จะมีสักกี่คนละที่จะสามารถสร้างระบบธุรกิจที่ดีกว่าแมคโดนัลด์" จนสามารถขยายธุรกิจไปทั่วโลกได้สินค้าแต่ละตัวของบริษัท กว่าจะนำออกจำหน่าย จะถูกคิดค้นโดยทีมงานนักวิทยาศาสตร์ ทดลอง ปรับปรุง จดสิทธิบัตร แล้วได้ลองทำการวิจัยตลาดด้วยว่าเหมาะสมกับคนประเภทไหนอย่างไร ทำไมผงซักฟอกต้องเป็นสูตรเข้มข้น ทำไมไม่เจือจางมาเลยแล้วขายถูกๆ เหมือนทั่วๆไป ทำไมต้องแตกต่าง สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เกิดมาชั่วข้ามคืน ราคาก็ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพราะอยากตั้งให้มันแพง สินค้าบางตัวที่ทำตลาดไม่ได้ ก็ถูกถอดออกเลิกผลิตไปก็มี ทำไมต้องรับประกันความพอใจ ไม่พอใจคืนสินค้าได้ ถ้าสินค้าคุณภาพไม่ดี ราคาแพง ขายไม่ออก ย่อมมีผลกระทบกับบริษัท บริษัทก็ต้องการยอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน สินค้าก็ต้องคงเอกลักษณ์ ตามเป้าหมายภารกิจของบริษัทอยู่ บริษัทไม่ยอมผลิตสินค้าที่คุณภาพลดลงโดยใช้วัตถุดิบที่คล้ายคลึง แต่ราคาถูกกว่า มันมีหลายสาเหตุที่มันเป็นอย่างนั้น ผมถึงอยากบอกว่าแม้ส่วนนี้จะเป็นสิ่งที่ทุกคนมองเห็นมากที่สุด แต่มันเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนเดียวในหลายๆส่วนเท่านั้น ถ้าเรามัวพะวงแต่ส่วนนี้มากเกินไป เป้าหมายใหญ่ๆทั้งหมดจะพังทลายลงได้ และส่วนนี้เป็นส่วนที่ธุรกิจเครือข่ายได้เปรียบธุรกิจอื่นๆ หลายธุรกิจ เพราะในธุรกิจเครือข่าย เรามีทีมผลิตสินค้าให้ เรามีทีมวิจัยสินค้าให้ เรามีทีมกระจาย ส่ง สินค้าให้ เรามีทีมพัฒนาสินค้าให้ เรามีทีมวิจัยการตลาดให้ ซึ่งตรงนี้เรามีทีมงานทำให้หมดแล้วเราไม่จำเป็นต้องไปหนักใจกับปัญหาตรงนี้อีก


ที่มา: หนังสือพ่อรวยสอนลูก

www.solthailand.com
Tel.084-6384684


ทำไมคนที่ผมได้พูดคุยด้วยสนใจ ทำงานธุรกิจเครือข่าย

“คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานตลอดชีวิต”

1.ธุรกิจเครือข่าย เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนมีงานทำ มีรายได้ - ไม่ว่าคุณจะจบการศึกษาหรือไม่ ธุรกิจนี้เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการทำงาน เพื่อเป็นอาชีพและหลักประกันว่าคุณจะมีรายได้ตลอดชีวิต

2.สร้างอาชีพและรายได้เสริมให้ทุกคน - จากประสบการณ์ในการทำงานของผมที่เคยเป็นเจ้าของบริษัท ผมได้เจอพนักงานหลายคนที่มีรายได้น้อยแต่มีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวมาก และพวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะทำงานเพิ่ม เพื่อให้มีรายได้มากขึ้น

3.มีรายได้มั่นคงแม้จะอายุเลย 60 ปี - เมื่อคุณอายุใกล้ 60 คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะยังมีรายได้ เลี้ยงชีพ และครอบครัว และสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข

4.มีอิสรภาพทางเวลา - ลูกจ้างทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ในการทำงานที่ต้องตอกบัตรหรือลงเวลามาทุกคน คุณจะให้เวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณที่จะได้อยู่ใกล้กับครอบครัวคุณ หรือคนที่คุณรัก ถูกจำกัดด้วยสิ่งนี้หรือ

5.ใช้ความรู้ความสามารถของคุณช่วยเหลือผู้อื่น - จำวันที่คุณศึกษาจบหรือได้รับปริญญาได้หรือไม่ เพื่อนๆและญาติพี่น้องของคุณต่างร่วมแสดงความยินดีกับคุณ ทุกคนเห็นแววตาแห่งความสุขของคุณ .....วันนี้ ถ้าคุณได้ช่วยเหลือให้พวกเขาได้ร่วมเป็นทีมงานของคุณและช่วยเหลือให้พวกเขาประสบความสำเร็จ คุณจะเป็นคนที่มีความสุขอย่างแท้จริง

6.เป็นมรดกให้กับคนที่คุณรัก หรือ ลูกหลานคุณ - ทุกสิ่งที่คุณทุ่มเทให้กับการช่วยเหลือทีมงานของคุณให้พวกเขาประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ จะทำให้คุณมีรายได้มากขึ้นด้วยและรหัสสมาชิกของคุณก็จะกลายเป็นมรดกที่มีค่าที่สุดแก่คนที่คุณรัก เพราะพวกเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขกับสังคมและเพื่อนร่วมงานที่ดี ที่คุณได้สร้างขึ้น

7.โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต - ธุรกิจนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เปรียบเสมือน กับคุณและทีมงาน กำลังแข่งขันวิ่งมาราธอน โดยมีความสำเร็จในชีวิตเป็นเส้นชัยรออยู่ เพื่อนๆ ทั้ง Up line หรือ Down line ต่างส่งกำลังใจให้คุณและพร้อมจะช่วยเหลือคุณให้วิ่งไปถึงเส้นชัยให้ได้

8.โอกาสยิ่งใหญ่ที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ - ในชีวิตจริงคุณได้เห็นคนพิการ คนด้อยโอกาส คนขอทาน หรือคนไร้ญาติที่ต้องพักอาศัยอยู่บ้านบางแค หรือที่อื่น และมนุษย์ทุกคนต้องเจ็บป่วย เมื่อถึงวัยชรา คุณกำลังสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเขา......และเมื่อคุณได้ช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น ...... เมื่อวันที่คุณประสบความสำเร็จในชีวิตคุณจะเป็นผู้นำที่มีความสุขที่สุดที่ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา


สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684




ทำไม “ดาวน์ไลน์” ไม่เติบโต

นักธุรกิจขายตรงในระบบ MLM หรือเครือข่ายที่ได้ศึกษาแนวทางธุรกิจหรือศึกษาแผนการตลาดแล้วจะทราบดีว่า การใช้และจำหน่ายสินค้าเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ แต่การสร้างทีมผู้จัดจำหน่ายเป็นหลักสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในอนาคต หากทีมผู้จัดจำหน่าย หรือลูกทีมใต้สายงานไม่เติบโตอย่างต่อเนื่องก็จะไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ นี้ อะไรเป็นสาเหตุให้ทีมงานหรือดาวน์ไลน์ไม่เติบโต?

และจะมีแนวคิด แนวทางแก้ปัญหานี้อย่างไร ก่อนอื่น ลองมองภาพรวมใหญ่ๆก่อนว่า ธุรกิจ MLM นั้นไม่สามารถทำงานคนเดียวให้ประสบความสำเร็จระดับสูงได้เลย จะต้องทำงานกันเป็นทีม (TEAM) และถ้าหากทีมเติบโตมากเท่าไร ระดับของความสำเร็จก็จะมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหากทีมไม่เวิร์คก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยเช่นกัน การทำงานเป็นทีมนั้นมีหลักใหญ่ๆก็คือ “คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ คิดถึงตัวเองเป็นคนสุดท้าย” แต่คนไทยส่วนใหญ่ล้วนเติบโตมาในสังคมแวดล้อม เสี้ยมสอนให้ทำอะไรๆเพื่อตนเองก่อนเสมอ คิดที่จะ “เอา” มากกว่าการ “ให้” ต้องเด่นกว่า เหนือกว่า ยอมรับใครไม่ได้ ยอมแพ้ใครไม่เป็น และขาดการเสียสละ สังเกตจากวงการกีฬาก็ได้ กีฬานั้นบางชนิดก็เป็นกีฬาเดียว คือ เล่นคนเดียว บางชนิดก็เป็นกีฬาประเภททีม ประเทศไทยมีโอกาสเป็นแชมป์ระดับโลกได้ในกีฬาเดียวเท่านั้น เช่น มวยสากล,ยกน้ำหนัก,สนุกเกอร์ ฯลฯ แต่กีฬาประเภททีมนั้นประเทศไทยแทบจะไม่เคยได้แชมป์โลกเลยแม้แต่ชนิดเดียว เช่น ฟุตบอล,บาสเกตบอล,วอลเลย์บอล ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะนิสัยพื้นฐาน คือ ชอบคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ การทำงานเป็นทีมก็จะมีปัญหาและไม่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นอุปสรรคในการสร้างทีมให้เติบโตในธุรกิจขายตรง MLM นั้นจำเป็นจะต้องขจัดนิสัยเหล่านั้นทิ้งไป และปลูกสร้างจิตสำนึกแห่งหมู่คณะขึ้นมา


หลักและแนวทางการสร้างทีม เรียกว่า “บันได 5 ขั้น”

ขั้นที่ 1 ชวนคนหรือ “รีครูท” คนมาร่วมทำธุรกิจ ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีข้อควรระวังคือ เราเองเพิ่งจะเริ่มทำธุรกิจขายตรง เรียกได้ว่า เป็น “มือใหม่” ความรู้ ความเข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆของธุรกิจยังน้อย เมื่อถูกซักถามหรือโต้แย้งจากผู้มุ่งหวังที่เราไปชักชวน เราอาจจะตอบไม่ได้หรือตอบได้ไม่เคลียร์ ทำให้ชวนคนไม่สำเร็จ แนะนำให้ท่านพาผู้มุ่งหวังมาฟังการบรรยายธุรกิจเบื้องต้น จากผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรที่มีการจัดประชุมจะสำเร็จง่ายกว่า การชวนคนให้เป็นทีมงานในขั้นที่ 1 นี้ ชวนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะคนที่มีศักยภาพเท่านั้น ใครก็ได้ที่เรารู้จัก ชวนมาให้หมด บางรายอาจจะต้องอดทนเชิญถึง 4-5 ครั้งก็ได้ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น ขั้นตอนนี้เหมือนระดมคนยังไม่คัดคุณภาพคน

ขั้นที่ 2 เมื่อมีคน สมัครเป็นลูกทีมและซื้อสินค้าแล้วอย่าเพิ่งดีใจ ต้องนัดหมายลูกทีมทันทีให้พาผู้มุ่งหวังใหม่มารวมประชุมแนะนำธุรกิจในครั้ง ถัดไป แม่ทีมส่วนใหญ่มักจะลืมเรื่องนี้ ทำให้การขยายทีมงานเกิดการชะงักไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมีผลทำให้ทีมงานไม่เติบโต โดยให้คำแนะนำลูกทีมลอกเลียนแบบเรา ทำตามบันไดขั้นที่ 1 และเราคอยติดตาม คอยชี้แนะ หรือคอยกระตุ้นทีมงาน

ขั้นที่ 3 มองหาคนมีความพร้อมมาเตรียมพัฒนาเป็นผู้นำของแต่ละสายงาน ความพร้อมที่ควรมองเป็นหลักๆ ก็คือ - ความพร้อมเรื่องใจ หรือใจสู้ - ยอมรับการเรียนรู้ต่อเนื่อง ขั้นตอนนี้ส่วนใหญ่ นักขายตรงจะไม่ได้ทำเนื่องจากไม่รู้หรือขาดประสบการณ์ หรือไม่ก็ดูเฉพาะลูกทีมติดตัวเท่านั้น การคัดเลือกคนที่พร้อมที่สุดในแต่ละสายงาน อาจจะเป็นทีมงานขั้นที่ 2 หรือขั้นที่ 3 หรือขั้นลึกๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกทีมติดตัว หากท่านไม่ดูให้ดี เลือกคนไม่พร้อมแล้วนำมาพัฒนา ท่านเองจะเหน็ดเหนื่อยใจ จนท้อ และทีมงานก็ไม่เติบโตเหมือนใช้คนไม่ถูกกับงาน

ขั้นที่ 4 พัฒนาผู้นำทุกสายงานในองค์กรอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่คัดคนมีความพร้อมมาได้แล้ว ส่วนวิธีการพัฒนาก็คือ ชักชวนให้เข้าเรียนรู้ หรือเข้าอบรมตามที่บริษัท หรือผู้ประสบความสำเร็จจัดขึ้น โดยตั้งเป้าหมายในใจว่า จะต้องพัฒนาให้เขาเหล่านั้นทำงานได้เอง,บริหารทีมได้เอง จนเขาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือหลายปี ต้องรู้จักการรอคอยความสำเร็จ

ขั้นที่ 5 พัฒนาผู้นำใหม่ๆทุกสายงานใต้องค์กรให้เพิ่มมากขึ้นๆโดยร่วมมือกับผู้นำที่ ได้รับการพัฒนาแล้ว ,การเพิ่มปริมาณผู้นำใต้สายงานที่ทำงานเป็นนั้น ยิ่งมีปริมาณมากเท่าใด ความมั่นคงในการยืนอยู่บนถนนธุรกิจสายนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากท่านบริหารทีมงานจนถึงบันไดขั้นที่ 5 ได้ท่านจะกลายเป็นผู้สำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในธุรกิจขายตรง MLM ซึ่งจะได้รับทั้งเงิน, ตำแหน่ง, เกียรติ, ความยอมรับจากคนทั่วไป, ความภาคภูมิใจในตัวเองที่สร้างคนให้ทำธุรกิจนี้สำเร็จได้มากมาย และปลูกสร้างจิตสำนึกแห่งหมู่คณะขึ้นมาได้

ผู้จัดจำหน่าย ที่ยังไม่สามารถสร้างทีมงาน หรือดาวน์ไลน์ให้เติบโตได้นั้น อาจจะทำบันไดขั้นที่ 1 ได้ แต่ไม่ได้ทำบันไดขั้นที่ 2 หรือทำขั้นที่ 2 ได้แต่ไม่รู้ว่าต้องทำบันไดขั้นที่ 3 จนถึงขั้นที่ 4 และขั้นที่ 5 ลองเอาหลักการสร้างทีม สร้างดาวน์ไลน์แบบบันได 5 ขั้นไปปฏิบัติ มุ่งมั่นทำอย่างต่อเนื่อง ทีมงานของท่านเติบโตขึ้นมาในอนาคตได้แน่นอน ความสำเร็จของท่านถึงจะตามมา อย่าลืมว่า การทำให้ดาวน์ไลน์เติบโตนั้น ท่านจะต้องคิดถึงดาวน์ไลน์ก่อนเสมอ คิดถึงตัวเองเป็นคนสุดท้าย


สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684





ธุรกิจกิจเครือข่าย คืออะไร ทำไมคนจึงหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างมากมาย ?



ปัจจุบันมีรูปแบบวิธีการดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ว่าแต่ว่าคุณจะปฏิเสธที่จะเรียนรู้มันด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยทราบมาก่อน หรือไม่ เมื่อพูดถึงการทำการค้า หลายคนนึกถึงว่าต้องใช้เงินทุนมาก, ต้องจ้างแรงงานจำนวนมาก, ต้องผลิตสินค้า, ต้องมีโรงงาน, ต้องมีทำเลหน้าร้าน ฯลฯ จึงจะทำให้พวกเราส่วนใหญ่ ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองสักที เพราะขาดเงินทุน ขาดคนมีฝีมือที่ไว้วางใจได้ ณ.วันนี้ธุรกิจที่ทุกคนมีสิทธิ์ทำให้ฝันของตนเป็นจริงได้เกิดขึ้นแล้ว เราเรียกว่า “ธุรกิจเครือข่าย”

ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร ?
ธุรกิจเครือข่าย
เป็นระบบธุรกิจการตลาดรูปแบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่สร้างรายได้จำนวนมาก โดยไม่ต้องมีความเสี่ยงและไม่ต้องลงทุนเงินเป็นจำนวนมากเหมือนกับการทำธุรกิจทั่วๆไป เพียงเริ่มต้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี และเมื่อเกิดความประทับใจในตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ก็ทำการแนะนำบอกต่อให้คนที่รู้จักได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้นเหมือนกับตนเป็นการโฆษณาแบบปากต่อปาก เมื่อมีการซื้อผลิตภัณฑ์ใช้ตามคำบอกเล่าจากผู้แนะนำ ก็จะทำให้เกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการโฆษณาและพ่อค้าคนกลาง เหมือนกับการตลาดแบบเดิม ที่การเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคจะต้องผ่านระบบพ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับกำไรถึง 60% จากการจัดส่งสินค้ามาสู่ผู้บริโภค

เมื่อเกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง ทำให้บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถประหยัดงบประมาณที่เป็นค่าโฆษณาได้มาก ซึ่งบริษัทจะนำงบค่าโฆษณาที่ประหยัดได้ไปใช้ทำการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นอีก ส่วนผลกำไร 60% ของพ่อค้าคนกลางที่ถูกตัดออกมานั้น บริษัทจะนำเงินส่วนนี้มาจัดสรรให้กับผู้บริโภคที่ใช้ดีแล้วทำการบอกต่อกับผู้อื่นเป็นลำดับชั้นตามส่วนที่บริษัทกำหนดไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระบบการตลาดแบบเครือข่ายนี้ จะทำให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนแบ่งของรายได้มากถึง 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ จากระบบการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคแบบใหม่ นอกเหนือจากการที่จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียวในระบบธุรกิจแบบเดิม

โดยการตลาดแบบเครือข่ายผู้บริโภค ที่ใช้วิธีการแนะนำบอกต่อนี้จะมีลักษณะที่พิเศษกว่าการตลาดแบบทั่วๆไป คือ ความสามารถในการขยายตัวของจำนวนผู้บริโภคที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้แบบไม่จำกัดจำนวน โดยอาศัยเพียงการแนะนำผลิตภัณฑ์จากคน 1 คนแนะนำให้กับคน 2 – 3 คนและแต่ละคนของ 2 – 3 คนบอกต่อกับคน 2 – 3 คนต่อๆไป ก็จะเกิดการขยายตัวของจำนวนผู้บริโภค ในลักษณะพหุคูณเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด

โอกาสการเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่การมีอิสรภาพทางการเงินและเวลา หนังสือชุดพ่อรวยสอนลูก เล่มที่ 2 “Cashflow Quadrant” หรือ “เงินสี่ด้าน” ของ Robert T. Kiyosaki ได้กล่าวไว้ว่า คนในโลกแบ่งตามที่มาของรายได้ที่เขาได้รับออกเป็น 4 ด้านคือ
ด้านที่ 1 ) ลูกจ้าง ( Employee ) คือผู้ที่มีรายได้จากค่าจ้าง, เงินเดือน

ด้านที่ 2 ) ธุรกิจส่วนตัว ( Self – employed ), เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ( Small Business owner ) คือผู้ที่มีรายได้จากการทำงานของตนเองหรือกิจการของตนเองโดยเจ้าของกิจการจะต้องเป็นผู้ลงมือทำหรือดูแลด้วยตนเอง

ด้านที่ 3 ) เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ( Business owner ) คือผู้ที่มีรายได้จากทรัพย์สินของตน, โดยใช้เวลาและแรงงานของผู้อื่นสร้างรายได้ให้กับตน

ด้านที่ 4 ) นักลงทุน ( Investor ) คือผู้ที่ใช้เงินทำงานแทนตนเอง เพื่อสร้างผลตอบแทนหรือรายได้ให้กับตนโดยไม่ต้องทำเอง

โอกาสที่ดีที่สุดอยู่ที่การตัดสินใจเลือกทางเดินของคุณ

ในทุก ๆเ ช้าของวันใหม่ที่เราตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเรายังต้องดำเนินชีวิตในรูปแบบที่เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา คือต้องตื่นแต่เช้า ออกจากบ้าน ผจญกับปัญหาจราจร เพื่อไปให้ทันเข้างาน ตอกบัตรเข้าทำงาน แล้วก็ทำงานตามภาระรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย พบเจอกับความเครียดต่างๆในการทำงาน ตอนเย็นเลิกงาน ตอกบัตรออก ผจญกับปัญหาจราจรอีกครั้ง กลับถึงบ้าน แล้วก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย และเตรียมพบกับวันใหม่ที่ดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิมๆ เป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน เราเคยสังเกตบ้างหรือไม่เราทำสิ่งเหล่านี้เพื่ออะไร? เพื่อที่จะให้สามารถดำรงชีวิตผ่านไปได้วันๆหนึ่งเท่านั้นเองหรือ ? เราต้องการชีวิตที่เป็นแบบนี้จริงๆหรือ ? ผมเชื่อมั่นว่าคนเราทุกคนมีความฝัน อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน แล้วทำไมไม่ลองหาทางที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปสู่รูปแบบของการใช้ชีวิตแบบใหม่ในแบบที่คุณอยากเป็น

มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เดินทางร้อยลี้ต้องมีก้าวแรก” หากคุณต้องการเริ่มต้นสร้างความสำเร็จให้กับชีวิต ด้วยเส้นทางที่สามารถสร้างความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ ภายในระยะเวลาที่ไม่ยาวนานเกินไป ธุรกิจเครือข่ายจะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ที่พร้อมจะเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงเสมอ หลังจากนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ เมื่อคุณได้มีโอกาสอ่านเอกสารฉบับนี้แล้ว และต้องการจะใช้โอกาสที่ดีนี้เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินและเวลาให้กับตัวคุณเองและคนที่คุณรัก ผู้ที่แนะนำคุณให้อ่านเอกสารฉบับนี้พร้อมเสมอที่จะช่วยคุณสร้างความฝันให้เป็นจริง เพียงคุณมีความเชื่อมั่นและเดินตามความเชื่อในหัวใจของคุณ ทุกสิ่งที่คุณปารถนาย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน

จุดเด่นของธุรกิจเครือข่าย (Networking System)
1. คือ Win - Win Business (ธุรกิจที่ชนะชนะ ) เมื่อคนที่ท่านแนะนำธุรกิจ (ลูกทีมของท่าน) สำเร็จท่านในฐานะผู้แนะนำ.... จึงจะ.... สำเร็จด้วย

2. คือ No - Risk Business (ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง) ด้วยขนาดเงินลงทุนต่ำ แต่ใช้สัมพันธภาพสูง ใช้เวลาพอควร ท่านไม่ต้องลงทุนสร้างทรัพย์สิน อาคาร, อุปกรณ์, ที่ดิน (บนกองหนี้สิน) แต่ท่าน.... กำลัง....สร้าง ทรัพย์สินคือ เครือข่ายประชากร (People Assets) ที่.... ผูกโยง กันด้วยสัมพันธภาพ และ.... ได้ผลตอบแทนจากทรัพย์สินบนบันทึกข้อตกลง ผลประโยชน์ร่วมกัน!และ.... ผลตอบแทนนี้ได้มาจาก ผลรวมของทั้งเครือข่ายบางคน.... เรียกผลตอบแทนนี้ว่า Passive Income (รายได้ที่ไม่ต้องลงแรงด้วยตนเอง แม้ว่าคุณจะหยุดทำงาน แต่รายได้ ของคุณยัง เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลา)

3. เป็นธุรกิจที่ท่านสามารถเลือกเวลาทำงานตามใจปรารถนา ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน 8.00 น. ไม่ต้องตอกบัตรออกงาน 17.00 น. ไม่ต้องยื่นใบลากิจ, ลาพักร้อนกับใคร นอกจากขออนุญาติตัวเอง! เป็นเจ้านายงานในเวลาของตนเอง (Time Freedom) นั่นคือ... มีอิสระภาพทางเวลา!

4. เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในทิศทางใหม่ของโลก เพื่อให้ท่านได้มีเวลา อยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น (Home Based Business) เพราะ ธุรกิจนี้ทำบนโต๊ะอาหารภายในบ้านของท่าน และบ้านของคนใน เครือข่ายได้

5. เป็นระบบที่เสริมสร้างโอกาสให้ ได้ร่วมทำงานกับ คนหลากหลาย อาชีพ, หลากหลายประสบการณ์, หลากหลายวัฒนธรรม (Multi Experience - Multi Profession - Multi culture) บนความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นเจ้านาย-ลูกน้องทุกคน คือ สมาชิกอิสระ (Distributor) ภายในระบบธุรกิจมีการ.... ถ่ายทอด.... องค์ความรู้ในวิชาชีพองค์ความรู้ในผลิตภัณฑ์.... จิตวิญญาณที่ปลุกพลังแห่งความสำเร็จ ลงไปเป็นชั้น ๆ ต่อ ๆ กัน ไม่รู้จบ

6. เป็นธุรกิจที่ต่อเชื่อมท่านเข้ากับธุรกิจ ข้ามชาติระดับโลกท่านไม่ต้องสร้างระบบใหม่ ด้วยตนเอง แต่ดำเนินตาม, ปฏิบัติตามแบบแผน ธุรกิจ (Business - format) ที่วางไว้อย่างดีเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก (บางคนเรียกว่าเครือข่ายของแฟรนไชส์ ระดับเล็กๆ หรือระดับบุคคล มาผูกโยงเชื่อมกัน (Network of Micro or Personal Franchisee) แต่ไม่ต้องจ่ายค่ารอยัลตี้ (Royalty fee) ใดๆ เลย

7. เป็นระบบธุรกิจเดียวที่มีผลกำไรงอกเงย ขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง/วัน ตลอด 365 วัน/ปี แม้ท่านเองจะหยุดพักผ่อน, หยุดพักร้อน เพราะเวลาทำงานภายในเครือข่ายของท่าน อาจอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ซึ่งกำลังทำงานอยู่ในขณะที่ท่านนอนหลับ หรือกำลังทำงานอยู่ในขณะที่ท่านหยุดพักร้อน

8. เป็นระบบธุรกิจเดียวที่ผลงานแห่ง ความพากเพียร ของท่าน วันละ 2 ชั่วโมง สามารถทวีคูณไปเป็น วันละ 2,000 ชั่วโมง, 20,000 ชั่วโมง.... แปรผัน.... ตามความใหญ่โตของ เครือข่ายของท่านและ.... เมื่อท่านสามารถสร้างสินทรัพย์ (People Assets) เครือข่ายอย่างมีคุณภาพ ท่านก็สามารถทำงาน เต็มที่เพียง 3 - 5 ปี เพื่อรับบำนาญติดต่อกันไปตลอดชีวิต

หากท่านเป็นลูกจ้าง (Employee) มีรายได้จาก เงินเดือนเป็นหลัก ท่านอาจต้องทำงาน 35 ปี (60-25) เพื่อรอกินบำนาญเพียงเล็กน้อยต่อไป 5-15 ปี (หลังอายุ 60ปี)
หากท่านเริ่มงานด้วยเงินเดือนเริ่มต้น เดือนละ 7,000 บาท และโชคดีเงินเดือนของท่านได้รับการปรับเพิ่มทุกๆ ปีๆ ละ 5-10% เมื่อทำงานติดต่อกันถึง 35 ปี....
ท่านจะได้รับเงินจากผลงานทั้งชีวิต (420 เดือน)รวมประมาณ 7 ล้านบาท แต่ท่านทราบไหม? ว่า เงิน 7 ล้านบาทนี้ ท่านอาจสร้างขึ้นได้จากธุรกิจระบบเครือข่าย

(หากครบ 5 องค์ประกอบ : บริษัทมั่นคง, ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี แผนธุรกิจดี, แนวโน้มเศรษฐกิจเอื้ออำนวย, อยู่ในเวลาและโอกาสอันเหมาะสม) ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี หรือไม่ถึง 5 ปี

สนใจธุร่วมธุรกิจกับทีมผมคลิกดูข้อมูลครับ
Tel.084-6384684